พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีสลากกินแบ่งรัฐบาลมูลค่า 30 ล้านบาท ระหว่าง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล นายตำรวจเกษียณอายุราชการ และ นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือ ครูปรีชา ว่าคดีดังกล่าวถูกโอนสำนวน มาจากกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 7 เพื่อให้ตำรวจกองปราบปรามดำเนินการสืบสวนสอบสวนในส่วนของคดีอาญา ที่ ครูปรีชา ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับ ร.ต.ท.จรูญ ฐานยักยอกทรัพย์ รับของโจร ก่อนไปฟ้องศาลแพ่ง ขณะที่ ร.ต.ท.จรูญ แจ้งความกลับ ครูปรีชา ฐานแจ้งความเท็จ เท่านั้น ส่วนคดีแพ่ง คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายต้องไปฟ้องร้องกันเอง ตำรวจไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่กล้าก้าวล่วงตรงนั้น และไม่มีหน้าที่ชี้ว่าใครคือเจ้าของที่แท้จริง เป็นเรื่องทางแพ่ง
ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีซับซ้อน
“รูปคดีดังกล่าวมีความซับซ้อน และถือว่าคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายเป็นมวยถูกคู่ก็ได้ นึกในใจให้เห็นภาพชัด เปรียบเป็นกีฬา มีแพ้ มีชนะ ไม่มีเสมอ มีแต่ติดคุก”
พร้อมฝากเป็นอุทาหรณ์ ให้กับผู้ที่คิดจะทุจริตขอให้เอาคดีนี้เป็นตัวอย่างและคิดว่าคดีนี้จะเป็นคดีสุดท้ายที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในส่วนคดีพิพาทเรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาล และยืนยันว่าคดีที่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้อง จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนและไม่เป็น มวยล้มต้มคนดู
ด้าน พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่าเรื่องนี้ ต้องไปพิสูจน์ในชั้นศาล แต่จากการสืบสวน ร.ต.ท.จรูญ ไม่มีพยานหลักฐานอ้างอิง ได้เลย ทางตำรวจจึงต้องแขวนไว้ก่อน ซึ่งเรียกได้ว่า ร.ต.ท.จรูณ ตัดโอกาสตัวเอง ทำให้ตำรวจต้องสอบปากคำพยานเพียงฝ่ายเดียว คือฝ่ายครูปรีชา แต่เมื่อดำเนินการ ตรวจสอบ โดยใช้วิธีการพิสูจน์ทราบทางวิทยาศาสตร์ สรุปคำกล่าวอ้างของพยานครูปรีชา ยังขัดแย้ง ไม่สอดคล้องกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และการที่ศาลอาญากรุณา ออกหมายจับ ให้ทั้งที่ผู้ต้องหาไม่ได้หนี ค่อนข้างชัดเจน
Cr.springnews
สุโสมณี พานทอง คือ 34 และเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมครอบครัว เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปี 2554 เธอเป็นเจ้าของและดำเนินงานด้านการปฏิบัติของเธอเองและช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนบ้านเกิดของเธอ เธอแต่งงานโดยไม่มีลูก แต่สนุกกับการใช้เวลาให้กับเมืองของเธอในฐานะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ได้รับการเลือกตั้ง