“ศรีสุวรรณ” จ่อยื่นศาลปกครอง ปมรถตู้โดยสาร

23 ม.ค 61 – นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ให้สัมภาษณ์ ในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซต์ไทยแลนด์ ทางสปริงนิวส์ ทีวีดิจิทัล ช่อง 19 ถึงกรณีเมื่อวานนี้ (22 ม.ค)  นำทีมเข้ายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายการจัดระเบียบรถตู้โดยสารสาธารณะ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2557  ว่าเหตุผลในการเข้ายื่นเรื่องดังกล่าว สืบเนื่องจาก ผู้ประกอบการรถตู้ เข้ามายื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากตนหลายราย ว่าได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล ขณะเดียวกัน เคยดำเนินการยื่นเรื่องผ่านกระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางบก รวมถึงฝ่ายทหารแล้ว  แต่ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ตนจึงเป็นตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบ เข้ายื่นเรื่องต่อรัฐบาลเมื่อวานนี้  โดยเฉพาะขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง ใน 5 ประเด็น สำคัญ  คือ

 1.  ขอให้ขยายอายุการใช้รถตู้สาธารณะทุกหมวดจากเดิมไม่เกิน 10 ปีให้มีอายุเท่ากัน กับรถแท็กซี่โดยสาธารณะ หรือให้เพิ่มเป็นไม่เกิน 15 ปี  โดยนายศรีสุวรรณ ระบุว่า  เพราะต้องการให้เกิดความเท่าเทียมกันในรถทุกประเภท  เช่นเดียวกับรถแท็กซี่ และรถโดยสารของ บขส. ที่ถูกกำหนดอายุการใช้งานสูงกว่ารถตู้โดยสาร พร้อมเสนอว่า รัฐบาลควรใช้มาตรการตรวจสภาพรถเป็นเกณฑ์หลัก มากกว่าการจำกัดการใช้งานด้วยอายุของรถเช่นปัจจุบัน เนื่องจากในต่างประเทศ เช่น สหรัฐ  มาเลเซีย  ก็จะคำนึงถึงสภาพรถมากกว่า โดยรัฐจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสภาพรถด้วยตนเอง  ด้วยหลักเหตุผล ตนมองว่า รถแต่ละคันมีความถี่ในการใช้งานไม่เท่ากัน

2. ไม่เห็นด้วย กับนโยบายการเปลี่ยนรถตู้เป็นรถไมโครบัส  โดยนายศรีสุวรรณ ระบุ ว่า นโยบายดังกล่าวจะต้องเป็นไปโดยสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับเช่นปัจจุบัน  พร้อมระบุ ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่ว่ารถใหญ่หรือเล็ก ก็เกิดอุบัติเหตุเช่นกัน ฉะนั้น ขนาดของรถจึงไม่ใช่เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุน้อยลงอย่างที่รัฐบาลเข้าใจ  พร้อมเสนอว่า หากต้องการให้จำนวนอุบัติเหตุน้อยลง รัฐบาลควรหันไปควบคุม ตรวจสอบ ระเบียบวินัยของผู้ขับอย่างเคร่งครัด หรือปรับโครงสร้างถนนและเส้นทางที่ไม่ปลอดภัย ไม่เหมาะสม มากกว่า 

3. ขอให้รัฐบาลยกเลิกการบังคับใช้รถตู้สาธารณะหมวด ต. และ ช. รับส่งผู้โดยสารได้เฉพาะสถานีต้นทางและปลายทาง  โดยนายศรีสุวรรณ ระบุว่า มองเป็นการเลือกปฏิบัติและไม่เกิดความเท่าเทียม เนื่องจากเป็นประเภทรถตู้เหมือนกันแต่ข้อปฎิบัติต่างกัน  และเป็นการสร้างความลำบากให้กับผู้โดยสาร ที่ต้องขึ้นและลง เฉพาะต้นทาง-ปลายทางเท่านั้น  เปรียบเป็นการขัดต่อหลักปถุชนทั่วไป ขณะที่หมวด จ. ผู้โดยสาร สามารถขึ้่นลงได้อย่างอิสระ จึงมองว่าไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และท้ายที่่สุด ก็กลายเป็นเครื่องมือให้เจ้าหน้าที่ แสวงหาประโยชน์จากผู้ประกอบการและคนขับ โดยการขู่รีดไถ่

4.ขอให้ทบทวนมาตรการการจัดระเบียบการจำหน่ายตั๋วรถตู้โดยสาร ที่กำหนดให้บริษัท ขนส่ง จำกัด เป็นผู้ดำเนินการ ประเด็นดังกล่าว นายศรีสุวรรณ ระบุ กำลังเป็นประเด็นปัญหาอยู่ในขณะนี้  เพราะนโยบายดังกล่าว เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้บริษัทภายนอกเข้ามารับสัมปทานแทน ซึ่งเกิดผลกระทบแล้ว ผู้ประกอบการ ต้องเลิกจ้างพนักงานขายตั๋วของตนเอง โดยตนเอง มองว่า นโยบายนี้ เกิดขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่รัฐ บขส. ต้องการผลประโยชน์ทับซ้อน  และทำให้ราคาตั๋วแพงขึ้น กระทบต่อผู้โดยสารอย่างมาก 

และ 5.การขอให้ทบทวนการรวมศูนย์สถานีรับส่งโดยสารที่อยู่ตามสถานีขนส่งต่างๆ และเปิดโอกาสให้เอกชนสามารถแสวงหาพื้นที่ในการจัดตั้งสถานีรับส่งของตนเองได้ โดยระบุว่า ที่ผ่านมา ผู้โดยสารได้รับผลกระทบจากการรวมศูนย์  ที่กำหนดแหล่งที่ตั้งของการปล่อยรถ ทั้งหมอชิต สายใต้ และเอกมัย  โดยห้ามจอดจุดอื่นนั้น  แต่พบว่า ผู้โดยสาร ไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่ 3 แห่งเท่านั้น และ มองว่ายังก่อให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดอีกด้วย  จึงควรเปิดโอกาสให้เอกชนบริหารจัดการ สร้างสถานีย่อยของตนเอง และให้รัฐคอยดูแลตรวจสอบ 

” ทั้งนี้ การนำรายชื่อผู้ประกอบการ และผู้โดยสาร จำนวน 1500 รายชื่อ เข้ายื่นต่อนายกรัฐมนตรีเมื่้อวานนี้ ตนเองไม่ได้หวังผลมากนัก แต่เป้าหมาย คือ ถ้ารัฐบาล และกรมการขนส่งทางบกยังไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เร่งด่วน ตนเองจะนำเรื่องดังกล่าว เข้าร้องต่อศาลปกครองอีกครั้ง เพราะให้ศาลพิจารณาว่า นโยบายทั้งหมด เจ้าหน้าที่รัฐเข้าข่ายปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบหรือไม่ ” นายศรีสุวรรณ กล่าว