ผิดจากนี้อย่าเรียกตัวเองว่า “สื่อมวลชน” … ย้ำเจตนารมณ์ “ข่าวจริง สปริงนิวส์”


ผิดจากนี้อย่าเรียกตัวเองว่า “สื่อมวลชน” … ย้ำเจตนารมณ์ “ข่าวจริง สปริงนิวส์”






ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ข้อเขียนชิ้นนี้ผม “ตั้งใจ” ส่งสารถึงคนทำสื่อทั้งวงการที่ต่างเผชิญวิกฤตธุรกิจที่กำลังเสื่อมถอย ต้องต่อสู้อย่างทรหดและอาจยังไม่มีคำตอบถึงความอยู่รอดทั้งส่วนตนและองค์กรในอนาคตอันใกล้ … แน่นอนผมเจตนาเป็นพิเศษที่จะขอพาดพิงบางคน ที่ทำธุรกิจ เล่นหุ้นพังพินาศ ไม่ถูกยอมรับ สบโอกาสก็อาศัยสถาบันหรือองค์กรพรางตัวเป็น “สื่อ” ใช้ปากกาจิกกัดอาละวาด ตัดสินคนที่ตกเป็นข่าว อุปโลกน์ตัวเองให้มีสถานะ ทั้งที่ขาดความรับผิดชอบ ไม่มีแม้ทักษะในการทำงานสื่อมวลชนขั้นพื้นฐาน

ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมอยากให้วงการนี้เลวร้ายไปกว่าที่เผชิญอยู่ แค่อยากให้คนสื่อ “ตัวจริง” ได้วินิจฉัยพฤติกรรม และเหตุแห่งพฤติกรรมอันนำมาซึ่งการแสดงออกในครั้งนี้อย่างเป็นธรรม …

ข้อเขียนของ นายสุนันท์ ศรีจันทรา ผู้นิยามตนเองว่าเป็นคอลัมนิสต์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องราวในธุรกิจตลาดทุน ที่เขียนพาดพิงถึงปรากฏการณ์พลิกผันที่เกิดกับค่ายสื่อยักษ์ใหญ่ NATION และสุทธิชัย หยุ่น ผู้ให้กำเนิดนิยามอหังการ “ผิดจากนี้ไม่ใช่เรา” ที่ถูกกลุ่มผู้ถือหุ้นอีกฝั่งนำโดย นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ NEWS เข้ากุมอำนาจบริหาร ก่อนจะสรุปตอนท้ายแบบฟันธงตัดสินว่า มองไม่เห็นอนาคต .. พร้อมทิ้งคำถามถึง นายฉาย บุนนาค ผู้อยู่เบื้องหลัง ที่คน NEWS เท่านั้นที่ตอบได้ …

ผมทำใจปล่อยวางให้ข้อเขียนของคุณสุนันท์ทำงานอยู่หลายวัน หลังเห็นเพื่อน ๆ ผู้บริหารที่รับไม่ได้กับวิธีทำงานสื่อในแบบของคุณสุนันท์ออกมาตอบโต้ทันควัน เมื่อถามมาผมในฐานะผู้บริหารที่รับผิดชอบ SPRINGNEWS TV  และเป็นผู้ร่วมกันก่อตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2553  ที่ถูกพาดพิงเต็ม ๆ ว่าประสบภาวะขาดทุนแทบเอาตัวไม่รอด จึงอยากเติมข้อมูลที่สังคมอาจได้รับแบบเลือกนำเสนอจากคนที่เรียกตัวเองว่า สื่ออาวุโสบางคนอย่างนี้ครับ …

“สปริงนิวส์” ก่อขึ้นเมื่อปี 2553 ยุคที่สังคมสับสนจากความขัดแย้งทางการเมืองจนลามมาสู่วงการสื่อ ด้วยพื้นฐานความคิดที่ต้องการเป็นสถานีข่าวที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนดูที่ต้องการความเป็นกลาง ไม่เลือกข้าง แบ่งสี นำเสนอข่าวโดยปราศจากอคติ ตรวจสอบรอบด้านและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างทัดเทียม …

ปี 2553–2556 เป็นช่วงที่ “สปริงนิวส์” ต้องต่อสู้และยืนหยัดนำเสนอข่าวท่ามกลางความขัดแย้งของประเทศ ล้มลุก คลุกคลาน บนสถานการณ์การอยู่รอดที่ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ารายได้ ทั้งผู้บริหารและพนักงานต้องร่วมกันเสียสละ ต่อสู้ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรค กว่าจะเติบโตจนเป็นดิจิตอลทีวีอย่างในทุกวันนี้

ผู้บริหารและพนักงานของ “สปริงนิวส์” ไม่เคยหาประโยชน์จากการใช้วิชาชีพสื่อสร้างความขัดแย้งสับสนหรือใช้อคติชี้นำในการนำเสนอข่าวเพื่อสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคมเช่นบางคนที่เรียกตัวเองว่าสื่อชอบทำ



“สปริงนิวส์” อาจมีผลประกอบการไม่ดีนัก มีเรตติ้งหรือค่าความนิยมที่ไม่สูงลิ่ว จนมองผิวเผินจากภายนอกอาจมีสถานะย่ำแย่ ดังเช่นบทวิเคราะห์ของคนที่นั่งเทียนเขียนข่าวโดยไม่แม้แต่สอบถาม แต่อย่างน้อยจนถึงวันนี้ “สปริงนิวส์” ก็ไม่เคยถอดใจทิ้งจุดยืน อาศัยความเป็นสื่อขู่กรรโชกเพื่อผลประโยชน์ ย่ำยีองค์กรตัวเองจนพาให้ธุรกิจล่มสลาย ทั้งไม่เคยคิดว่าภาวะถดถอยที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมสื่อในห้วงเวลาที่ผ่านมา คือ จุดจบของอาชีพ เป็นอุปสรรคที่จะทำให้ต้องท้อแท้ยอมแพ้แล้วอ้างเป็นปัจจัยเหนือการควบคุมฉวยโอกาส “ล้มบนฟูก” ทิ้งภาระให้ผู้ถือหุ้น เราทำตรงกันข้าม คือ เผชิญหน้ากับปัญหาเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเร่งเยียวยาแก้ไข ปรับตัวอย่างระมัดระวังด้วยความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น เสาะหาโอกาสท่ามกลางวิกฤตโดยไม่โทษชะตากรรมหรือการล้มล้างทางเทคโนโลยีหรือแม้แต่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

การเพิ่มทุนของทุกธุรกิจเป็นวิถีสามัญตามสถานการณ์และความจำเป็นไม่ว่าเป็นบริษัทจำกัดหรือมหาชน ผู้ถือหุ้นที่เป็นสุจริตชนล้วนต้องไตร่ตรองและเสาะหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ยิ่งบริษัทมหาชนที่อยู่ใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. หรือตลาดหลักทรัพย์ ยิ่งต้องมีรายละเอียดและถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดถี่ถ้วน … แม้แต่ธุรกิจสื่อก็ไม่ถูกละเว้น

กรณีของผลประกอบการกลุ่ม NATION ที่ถูกอ้างถึง โดยเฉพาะสาเหตุความล้มเหลวทางธุรกิจคงต้องถามจากผู้บริหารในอดีต แต่ถ้าเป็นอนาคต กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ที่เพิ่งเข้ารับหน้าที่บริหารร่วมคงจะตอบได้ดีที่สุด แต่ในฐานะเพื่อนร่วมวิชาชีพที่มองปรากฏการณ์นี้จากภายนอก ก้าวขยับของ NATION นับจากนี้จะมีนัยสำคัญยิ่งต่อธุรกิจสื่อทั้งที่อยู่และไม่อยู่บนกระดานตลาดทุน เป็นคำตอบสุดท้ายในการพลิกฟื้นธุรกิจ และฝ่าวิกฤตแหวกวงล้อม Digital Disruption ที่กำลังถาโถมดุจสึนามิขึ้นฝั่ง

เช่นเดียวกับ SPRINGNEWS GROUP ที่พวกเรากำลังทุ่มทุกสรรพกำลังนำพาองค์กรนี้ก้าวสู่ยุคสื่อ 4.0 ที่สังคมจะได้เห็นนับจากนี้เป็นต้นไป

ส่วน นายฉาย บุนนาค ที่ปัจจุบัน คือ ผู้บริหารสูงสุดของ บริษัท สปริงนิวส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในฐานะประธานกรรมการบริหาร อย่างเป็นทางการ ที่ถูกคุณสุนันท์ พาดพิง โดยหยิบยกถ้อยความที่ส่งถึงพนักงานในช่วงส่งท้ายปีใหม่แบบจงใจตัดมาเพียงบางส่วนเพื่อให้รับกับมุมมองเชิงลบที่ตนเองอยากนำเสนอ เนื้อหาที่แสดงถึงจุดยึนของ นายฉาย บุนนาค และเป็นเจตนารมณ์สำคัญขององค์กร กลับไม่ถูกนำมาเผยแพร่ ตามวิธีถนัดของคนทำสื่อบางจำพวกที่ชอบเสี้ยมให้เกิดอคติเกลียดชังในสังคม

นายฉาย บุนนาค ประกาศเจตนารมณ์การทำสื่อต่อพนักงานเครือสปริงนิวส์ว่า “ในโลกที่สื่อไม่มีต้นทุนอีกต่อไป ส่งผลให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย สามารถทำหน้าที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารเสมือนเป็นสื่อสารมวลชนทั่วไป ความแตกต่างของพวกเรา คือ การผลิตเนื้อหาที่ต้องมีคุณภาพ ต้องมีความน่าเชื่อถือ มีสาระและแม่นยำ ถูกต้อง ปราศจากอคติในการนำเสนอ และมีอุดมคติในการดูแลปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ พุทธศาสนา และซื่อสัตย์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์”



ข้อความนี้ถือเป็นเจตนารมณ์สำคัญของ “SPRING GROUP” ที่จะนำความจริงกลับสู่สังคม นำความน่าเชื่อถือกลับสู่สื่อกระแสหลัก และเป็นนโยบายหลักในการกอบกู้ธุรกิจและสถานะของสื่อมวลชนอาชีพ ด้วยความเชื่อว่า “คุณภาพ” เท่านั้นที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอด แม้ผลประกอบการจะเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จของทุกองค์กร แต่กับธุรกิจสื่อความรับผิดชอบต่อสังคมความจริงและความน่าเชื่อถือสำคัญยิ่งกว่า และควรถูกแยกออกจากเป้าประสงค์ทางธุรกิจที่มุ่งแสวงหากำไรอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดสมรรถนะการแข่งขันที่มาพร้อมคุณธรรมจริยธรรมบนวิถีทางสุจริตและมีธรรมมาภิบาล นี่คืิอ รหัสข้อความที่นายฉายต้องการสื่อถึงพนักงานทุกคนในเครือ เป็นหลักการที่คนในวงการนี้ต่างยึดมั่น ชนิดที่ควรจะใช้คำว่า “ผิดจากนี้ไม่ใช่สื่อ” ด้วยซ้ำ

ถ้าถ้อยแถลงนี้เป็นแนวคิดจุดยืนและเป้าหมายที่แตกต่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่คุณสุทธิชัย หยุ่นและ NATION ยึดถืออย่างที่คุณสุนันท์เขียนถึง ผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณสุนันท์อยากบอกอะไร … ใครที่ยืนอยู่คนละฝั่งกับอุดมการณ์ในการทำงานสื่อ หรืออย่างน้อยก็น่าจะถามตัวเองก่อนวิพากษ์คนอื่นว่าใครกันแน่ที่เป็น “ของปลอม” และไม่สมควรอยู่ในวิชาชีพนี้ยิ่งกว่า

ปี 2561 แม้จะถูกมองว่าเป็นปีแห่งวิบากกรรมของสื่อ แต่ก็จะเป็นห้วงเวลาแห่งการพิสูจน์เจตนาและตัวตนขององค์กรและ “คนทำสื่อ” ไปพร้อมกัน วาระสนุก ๆ ที่คุณสุนันท์เปิดประเด็น เชื่อมโยงพัวพันทั้ง NATION และ NEWS โดยใช้มิจฉาทิฐิตัดสินผู้อื่นจนลืมดูตัวเอง อย่างน้อยก็น่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้คนในวงการสื่อมวลชนอื่น ๆ ได้ช่วยกันขบคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่เราควรแยกโจรในคราบสื่อออกจากฐานันดรนี้อย่างจริงจังเสียที

ต้องขอบคุณคุณสุนันท์ ที่ทำให้ผมได้ใช้โอกาสนี้เปิดศักราชประกาศเจตนารมณ์ความเป็น “ข่าวจริง สปริงนิวส์” ที่พร้อมยืนหยัดทำหน้าที่สื่อมวลชนอาชีพและธุรกิจสื่ออย่างถูกต้องโปร่งใสเปิดเผยซึ่งหน้า ปราศจาก “ธง” ชี้นำที่มีประโยชน์ทับซ้อนอยู่เบื้องหลัง ยึดมั่นในจริยธรรมและจรรยาบรรณตามมาตรฐานแห่งวิชาชีพ เป็นภาระกิจที่เพื่อนสื่อทุกสำนักและคนข่าวอาชีพทุกคนมุ่งมั่นและกำลังต่อสู้เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าสื่อมวลชนที่ดีจะอยู่คู่สังคมตลอดไป

ฉัตรชัย ตะวันธรงค์ 
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ
สถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์

Cr : Springnews

สุโสมณี พานทอง คือ 34 และเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมครอบครัว เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปี 2554 เธอเป็นเจ้าของและดำเนินงานด้านการปฏิบัติของเธอเองและช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชนบ้านเกิดของเธอ เธอแต่งงานโดยไม่มีลูก แต่สนุกกับการใช้เวลาให้กับเมืองของเธอในฐานะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ได้รับการเลือกตั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Food Blog Theme by OlympusThemes.